ก่อนที่ ร้านซูชิ ซึ่งนับว่าเป็นอาหารอันโด่งดังของประเทศญี่ปุ่นนั้นได้มีเรื่องราวมากมายผ่านมาหลายศตวรรษ ถือว่ามีเรื่องราวและประวัติอันยาวนานอย่างน่าสนใจ โดยแต่เดิมนั้นซูชิเป็นรูปแบบการถนอมอาหารหรือเป็นการที่ผู้คนยังไม่มีตู้เย็นจึงจำเป็นต้องทำการรักษาอาหารต่าง ๆ ที่มีเอาไว้ โดยการหมักข้าวและปลาทำให้ข้าวที่ใช้ในการประกอบอาหารที่ชื่อว่าซูชินั้นจะมีรสชาติออกเปรี้ยวเหมือนในปัจจุบันที่เราได้ลองลิ้มรสในร้านซูชิทั่วไป แต่การเปรี้ยวนั้นเกิดจากการหมัก ไม่ใช่การใช้น้ำส้มสายชูแบบในปัจจุบัน เพราะจากที่กล่าวไปข้างต้นคือแต่เดิมเกิดจากการหมัก ส่วนในปัจจุบันนั้นซูชิที่อยู่ตามร้านซูชิเป็นวัตถุดิบที่สดใหม่ ไม่จำเป็นต้องรอดอง และไม่สามารอดองเป็นเวลานานเหมือนในอดีตได้ จะได้มีการปรับมาใช้น้ำส้มสายชูแทนการหมักดองให้เกิดรสเปรี้ยวนั่นเอง และในอดีตผุ้คนจะไม่เลือกกินปลาดิบแต่อย่างใด โดยเฉพาะส่วนที่มีไขมันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นส่วนเก็บหรือถนอมอาหารได้ยาก เกิดการเสียและบูดได้ง่ายเพียงในระยะเวลาการเก็บอันสั้น ฉะนั้นการกินซูชิด้วยปลาดิบที่มีไขมันเช่นส่วนของท้องปลาแซลม่อนหรือส่วนอื่น ๆ ที่มีไขมันล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับความนิยมหรือเลือกจะไม่รับประทานเลยแม้แต่น้อย และการกินซูชิในอดีตไม่ใช่เป็นการวางปลาบนข้าวแต่เป็นการให้ปลาอยู่ในข้าวแทน

มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้มีการสันนิษฐานว่าอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อว่าซูชินั้นแต่เดิมดัดแปลงมาจากปลาส้มของไทยเราตั้งแต่ช่วงในอดีตที่มีการค้าต่อกัน จนพัฒนามาเป็นร้านซูชิที่เปิดให้บริการลิ้มรสอาหารซูชิวัตถุดิบสดใหม่ และความกระตือรือร้นของตัวพนักงานที่นับว่าเป็นวัฒนธรรมชวนน่ามองของประเทศญี่ปุ่นไปเสียแล้ว หรือนักประวัติศาสตร์บางท่านก็ได้กล่าวว่าแท้จริงแล้วซูชินั้นมีมาตั้งแต่สมัยกาลอันยาวนานของประเทศจีนที่มีการวางปลาไว้บนข้าวเพื่อรับประทานร่วมกัน ที่สันนิษฐานว่ามาจากจีนเนื่องจากแต่เดิมในพงศาวดารจีนได้มีการกล่าวว่าในสมัยยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยยุคดังกล่าวจิ๋นซีฮ่องเต้ต้องการยาอายุวัฒนะเพื่อให้ตนเองได้อายุยืนหรือเป็นอมตะ และหากขุนนางหาไม่ได้ก็จะถูกลงโทษและแน่นอนว่ายาเหล่านั้นล้วนไม่มีอยู่จริง แต่ได้มีกลุ่มขุนนางกลุ่มหนึ่งแจ้งว่าจะหาให้เพียงขอเรือสำเภาสองลำและขอชาวบ้านคู่ชายหญิงและกลุ่มเด็กบางส่วนไปพร้อมกับตนเองด้วย โดนเรือสำเภานั้นจะแยกกลุ่มไปหาตามเกาะต่าง ๆ ซึ่งจากในจุดนี้นักประวัติศาสตร์ก็ได้มีการสันนิษฐานว่าสองเกาะที่กล่าวมาคือประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลี เพราะมีการใช้ภาษา การแต่งกาย ศิลปะ และรวมถึงอาหารที่มีความคล้ายกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออาหารซูชิที่ตามไปด้วย และแต่ละประเทศก็ได้มีการดัดแปลงให้เหมาะกับความนิยมของประเทศตนเอง นี่คือการสันนิษฐานที่ถูกพูดถึงมากที่สุดสำหรับประวัติการเกิดซูชิจนมาเป็นร้านซูชิในปัจจุบันนี้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งกล่าวไปเบื้องต้นเป็นเพียงการคาดเดา ฉะนั้นไม่สามารถทราบได้ว่าข้อใดที่ถูกต้องที่สุดหรืออาจจะเป็นการผสมผสานจนเกิดมาเป็นร้านซูชิในตอนนี้ก็เป็นไปได้เช่นกัน

และนอกจากการเปลี่ยนแปลงในอดีตแล้ว ในปัจจุบันที่มีร้านซูชิเปิดให้บริการนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงและดัดแปลงขึ้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยช่วงแรก ๆ ที่ร้านซูชิได้มีการไปจัดตั้งในประเทศตะวันตกก็นับว่าเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับในความแปลกใหม่นี้ ฉะนั้นร้านซูชิที่เปิดให้บริการในแถบดังกล่าวจึงได้มีการพัฒนาให้ซูชิประกอบไปด้วยผักหรือนำข้าวมาม้วนด้วยผักต่าง ๆ จนเกิดมาเป็นซูชิช่อว่า แคริฟอร์เนีย ซูชิโรลซึ่งเป็นการนำผักต่าง ๆ ที่เข้ากับข้าวญี่ปุ่นมาม้วนรวมกันและกินเป็นคำและในปัจจุบันเมนูอาหารประเภทดังกล่าวก็ได้มีการทำอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่เอเชียอย่างร้านซูชิในประเทศไทยก็ได้มีการนำเมนูนี้มาประกอบในเมนูร้านซูชิด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
ร้านซูชิ เริ่มเข้ามาในประเทศไทย

แน่นอนว่าร้านซูชิก็เป็นหนึ่งในประเภทอาหารที่ได้รับความชื่นชอบจากคนไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากวัตถุดิบที่มีความคล้ายคลึงกัน หรือรวมถึงรสชาติและหน้าตาที่น่าสนใจของซูชิที่เกิดขึ้นทำให้ร้านซูชิเล็กใหญ่ได้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และเจอได้ทั้งตามท้องตลาดจนไปถึงเป็นร้านซูชิรูปแบบภัตตาคารที่แสนแพงหากไปกินจะต้องมีติดต่อร้านเพื่อทำการจองและจ่ายในราคาที่สูงลิ่วจนน่าตกใจ โดยร้านซูชิราคาย่อมเยาจะเจอได้ตามตลาดนัดที่เราเดินกันหรือเป็นตลาดที่รวมแหล่งของกินน่าสนใจก็จะเจอร้านซูชิแบบนี้ ที่สามารถหยิบได้ตามใจชอบ ราคาชอบซูชิก็จะอยู่ในราคาคำละ 10 บาทขึ้นไป ราคาก็ขึ้นอยู่กับตัววัตถุดิบของซูชิคำนั้นว่าเป็นอะไร แต่จะไม่เกิน 20 บาทต่อคำอย่างแน่นอนส่วนรสชาตินับว่าอร่อยไม่เป็นรองร้านแบบอื่น ๆ แต่อย่างใด ต่อมาคือร้านซูชิที่เปิดเป็นร้านใหญ่ทั้งในพื้นที่ของตนเองและเปิดตามห้าง ร้านซูชิเหล่านี้จะมีทั้งร้านที่เป็นเฟรนไชน์จากประเทศญี่ปุ่นโดยตรง เช่น ร้านซูชิโรที่เป็นร้านซูชิสายพานที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น โดยร้านซูชิดังกล่าวได้มาเปิดในไทยได้ในระยะหนึ่ง ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากราคาไม่สูงมาก ราคาเริ่มต้นที่จานละ 40 บาทจนไปถึงราคา 120 บาท นับว่าเป็นราคาที่ไม่แพงมาก สามารถจับต้องได้ และต่อจานก็ให้ซูชิมาจานละสองถึงสามคำ เป็นขนากที่กำลังดี รวมถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ล้วนเป็นของสด และบางอย่างจัดขึ้นตามแต่ละฤดูกาล เพื่อไม่ให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเบื่อกับเมนูซ้ำ ๆ เดิม ๆ ต่อมาคือรูปแบบภัตตาคารหรือเรียกว่าเป็นร้านแบบโอมากาเสะที่จะต้องมีการจองก่อนเพราะร้านจำกัดจำนวนคนเข้ามาใช้บริการและร้านซูชิแบบนี้จะแบ่งการกินเป็นคอร์สที่ทางเชฟจัดให้ในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับว่าวัตถุดิบช่วงนั้นจะเป็นอะไร และเชฟของร้านต้องการเน้นจุดไปในด้านไหนเป็นพิเศษ ซึ่งถือว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก